BTS เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจ ตอนตุลาคม 65-มี.ค.66 ดียิ่งขึ้นเพราะเหตุว่าจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส
เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดถึง 800,000 เที่ยวคน/วัน ขณะเดียวกันปี 66 จะมีการเปิดให้บริการ รถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง นายสุรยุทธ ทวีกวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีที่เอส กรุ๊ป โฮถดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กล่าวมาว่า
แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในงวดครึ่งปีหลัง (ตุลาคม 65-มี…66) ยังมองเห็นแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจ Move ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เพราะเหตุว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า บีทีเอส เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
และกลับมาแล้ว 90% ใกล้กับตอนก่อนเกิดโควิด-19
ในระดับ 90% ซึ่งจะมองเห็นได้จากตั้งแต่ตอนเทศกาลประเพณีลอยกระทงเป็นต้นมา จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า บีทีเอส เพิ่มมาเป็น 800,000 เที่ยวคน/วัน จากตอน
ก่อนหน้าอยู่ที่เฉลี่ย 700,000 เที่ยวคน/วัน เทียบกับตอนก่อนเกิดโควิด-19 ที่ระดับ 1 ล้านเที่ยวคน/วัน ภายหลังผู้คนกลับมาเดินทาง
และดำเนินงานตามปกติมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นมาสม่ำเสมอ
สำหรับสิ่งสำคัญที่บริษัทฯ คิดว่าจะทำให้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า บีทีเอส กลับไปที่ระดับตอนก่อนเกิดโควิด-19 ได้นั้นต้อง คาดหวังให้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา ซึ่งถือเป็นกหน็งต้นเหตุที่มีความนัยสำคัญ แยังไม่สามารถที่จะประเมินได้ว่านักท่องเที่ยวจากจีนจะกลับมา
ได้เมื่อใด เพราขึ้นอยู่กับทางการจีน ตอนที่ในส่วนของรายได้บีทีเอส ในปีนี้อจจะมีการลดลงบ้าง
เพราะเหตุว่าค่าแรงงานสำหรับในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองที่เป็นช่วงๆท้ายของการก่อสร้าง ทำให้รายได่ในส่วนนี้ลดลง
BTS ฟ้องกรุงเทพมหานครทวงค่าแรงงานเดินรถอีกครั้งหลังยอดพุ่ง 1.1 หมื่นลบ.แถมรอคิวอีกคดี 2 หมื่นลบ.
นายสุรยุทธ ทวีกุลวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) กล่าวมาว่า บริษัทจัดแจงยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด อีกครั้งเร็ว ๆ นี้
เพื่อเรียกร้องให้จ่ายค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ภายหลังที่บริษัทยังไม่ได้รับชำระจากกรุงเทพมหานคร ทำให้จำนวนเงินที่ติดค้างรวมดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วที่ได้ยื่นฟ้องไปในมูลค่ารวมราว 1.7 หมื่นล้านบาท
ด้านศูนย์ข่าว บีทีเอส เปิดเผยว่า
เมื่อวานวันที่ (22 พ.ย.65) บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ที่กรุงเทพมหานครติดค้างตามสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งยังส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า และ ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ 16 เดือนกรกฎาคม64- 22 พ.ย.65) ซึ่งเป็นการฟ้องเพิ่มเติมจากคดีก่อนหน้าโดยส่วนต่อขยายที่ 1 มีวงเงิน 2,895 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) และ ส่วนต่อขยายที่ 2 มีวงเงิน 8,173.5 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) ทำให้มีวงเงินเพิ่มขึ้นอีก 11,068.5 ล้านบาท
ยิ่งกว่านั้น BTSC จัดแจงฟ้องกรุงเทพมหานครเพิ่มในส่วนงานติดตั้งระบบไฟฟ้า
และเครื่องกล วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงเวลานี้จำนวนยังไม่นิ่ง เพราะว่า
มีงานเพิ่มเติมเข้ามา แต่ว่าคาดว่าจะยื่นฟ้องได้ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนคดีที่ศาลปกครองกลางให้กรุงเทพมหานครและ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ร่วมกันจ่ายค่าแรงงานเดินรถและค่าซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 รวมมูลค่า 11,754 ล้านบาท(รวมดอกเบี้ย) โดยให้จ่ายภายในเวลา 180 วัน แต่ว่าทางกรุงเทพมหานครได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว ก็ต้องรอศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดี
นายสุรยุทธ์ บอกว่า อย่างไรก็แล้วแต่ ประเด็นข้อพิพาทกับทางกรุงเทพมหานครนั้น บริษัทคิดว่าไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อการขายหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนครั้งใหม่ของบริษัท
เพราะเหตุว่าประเด็นดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วทางบริษัทได้ดำเนินงานต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ไม่ได้ทำผิดข้อแม้และกฎเกณฑ์ที่กำหนด
และยังมั่นใจว่านักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้นกู้หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของ บีทีเอส ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทสำหรับในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจทั้งยัง 3 ด้าน ได้แก่ Move Mix และ Match
สำหรับเพื่อการเสนอขายหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนที่จะบริษัทจะเสนอขายในครั้งนี้ เป็นมิติใหม่สำหรับเพื่อการลงทุน ซึ่งทุกคนที่เข้าลงทุนจะมีส่วนร่วมสำหรับในการสร้างความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับบริษัท ด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนที่ถูกใจ และการเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบกลับที่ดีจากนักลงทุน
หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของ BTS ที่ทำการเสนอขายในครั้งนี้
แบ่งได้ 4 รุ่น วงเงินเสนอขายรวม 1.3 หมื่นล้านบาท กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจะเสนอขายระหว่างวันที่ 25 และ 28-29 พ.ย. 65 ผ่าน ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT)
หุ้นกู้ดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้รับการจัดอันดับ
ความน่านับถือที่ระดับ A จากทริสเรทติ้ง และกำหนดมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท
สำหรับเพื่อการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้บริษัทจะมีการจัดสรรไปใช้ในลัษณะของการเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท นำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และการลงทุนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ทั้งยังการปรับปรุงระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ดียิ่งขึ้น
รวมทั้งจะเอาไปใช้ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการข้างในปี 66 และนำไปลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมความยั่งยืน และดูแลสภาพแวดล้อมอื่น ๆ
“การออกหุ้นกู้ SLB ของบริษัทครั้งนี้สอดรับกับกลยุทธ์ระยะยาวด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ของ บีทีเอส โดยการคงสถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน และกำหนดให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างน้อย 10% ของการดำเนินงาน และบริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในการจองซื้อหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่ยืนของ BTS ในครั้งนี้ เพราะตอนนี้จากการแสดงความสนใจเข้ามาถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และหากได้รับการตอบรับที่ดีมาก บริษัทอาจจะมีการออกหุ้นกู้ในรูปแบบนี้อีกในช่วงปี 66 รวมถึงการหาโซลูชั่นในการให้กลุ่มนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ส่งสริมความยั่งยืนของ BTS ผ่านการจองซื้อบนดิจิทัลด้วยเช่นกัน” นายสุรยุทธ กล่าว